รถยนต์ไฟฟ้า (EV) คืออะไร? รู้จักเทรนด์รถที่กำลังมาแรงในปี 2025
รถยนต์ไฟฟ้า หรือที่เราเรียกกันสั้น ๆ ว่า รถ EV (Electric Vehicle) คือรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าแทนน้ำมัน โดยใช้แบตเตอรี่เป็นแหล่งพลังงานหลักในการจ่ายไฟให้กับมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งต่างจากรถยนต์ทั่วไปที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในที่เผาไหม้น้ำมันเพื่อขับเคลื่อน
ในอดีต รถยนต์น้ำมันคือทางเลือกหลัก แต่ปัจจุบันเราเห็นผลกระทบที่ชัดเจนจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง เช่น ปัญหาฝุ่น PM2.5, มลพิษทางอากาศ และภาวะโลกร้อน ที่รุนแรงขึ้นทุกปี รถยนต์ไฟฟ้าจึงกลายเป็นหนึ่งในคำตอบที่หลายคนหันมาให้ความสนใจ เพราะไม่ปล่อยมลพิษจากท่อไอเสีย และสามารถช่วยลดคาร์บอนฟุตพรินต์ได้อย่างเห็นผล
ปี 2025: ปีทองของรถยนต์ไฟฟ้า
ปี 2025 ถือเป็นปีที่ รถ EV เข้าถึงง่ายมากขึ้น ทั้งจากนโยบายของรัฐที่สนับสนุน เช่น การลดภาษีนำเข้าและภาษีรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการขยายเครือข่ายสถานีชาร์จให้ครอบคลุมทั่วประเทศ นอกจากนี้ ราคาของรถ EV ก็ถูกลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะเทคโนโลยีแบตเตอรี่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ความจุสูงขึ้น ใช้งานได้ระยะทางไกลขึ้น ชาร์จเร็วขึ้น และที่สำคัญคือมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้นกว่าแต่ก่อน
ทำไมคนไทยปี 2025 หันมาใช้รถ EV กันมากขึ้น?
-
ประหยัดกว่าน้ำมัน: ค่าชาร์จไฟฟ้าต่อระยะทางถูกกว่าค่าน้ำมันหลายเท่า โดยเฉพาะเมื่อชาร์จจากบ้าน
-
รักษาสิ่งแวดล้อม: ลดการปล่อยมลพิษทางอากาศ ช่วยลดปัญหาฝุ่น PM และโลกร้อน
-
ค่าบำรุงรักษาน้อยกว่า: รถ EV ไม่มีน้ำมันเครื่อง ไม่มีระบบไอเสีย ทำให้ค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงต่ำกว่ารถน้ำมัน
-
ขับขี่เงียบและนุ่มนวล: ประสบการณ์การขับขี่ที่แตกต่าง ไม่มีเสียงเครื่องยนต์รบกวน และให้แรงบิดทันที
ก่อนจะตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าในปี 2025
สำหรับใครที่ยังลังเลว่าจะเปลี่ยนมาใช้รถ EV ดีไหม ลองเริ่มจากการหาข้อมูลเกี่ยวกับ ข้อดี-ข้อเสียของรถ EV, การเปรียบเทียบรุ่นยอดนิยมในปี 2025, และดูว่าพฤติกรรมการใช้รถของเราสอดคล้องกับการใช้ EV หรือไม่ เช่น มีจุดชาร์จใกล้บ้านหรือที่ทำงานหรือเปล่า หรือเราวางแผนเดินทางไกลบ่อยแค่ไหน
- สำหรับผู้ที่กำลังลังเล ว่าจะซื้อรถ ev มาใช้ดีไหม หากยังไม่มั่นใจ ก็สามารถ เช่ารถไฟฟ้ารายเดือน มาลองใช้ก่อนก็ได้ หากชอบก็ค่อยตัดสินใจซื้อ
- สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ เปรียบเทียบ 5 ผู้ให้บริการสถานีชาร์จรถไฟฟ้า ปี 2025
5 ข้อดีของการเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าแทนรถน้ำมัน
1.เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
รถยนต์ไฟฟ้านั้นเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยระบบกระบวนการของการทำงานที่ใช้พลังงานไฟฟ้าแทนน้ำมัน จึงช่วยลดการเผาไหม้ของน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศได้ การที่เราหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าจึงช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่อากาศได้ถือเป็นข้อได้เปรียบและจุดเด่นของรถไฟฟ้า EV เรื่องความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากกระบวนการขับเคลื่อนรถยนต์ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลัก จึงไม่มีการปล่อยก๊าซจากท่อไอเสียรถโดยตรง ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) หรือมลพิษอื่นๆออกสู่บรรยากาศภายนอกโดยทั่วไปรถยนต์ไฟฟ้าเหล่านี้จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ดียิ่งขึ้นเมื่อชาร์จด้วยแหล่งพลังงานสะอาดหรือพลังงานทดแทน ซึ่งต่างจากรถเครื่องยนต์แบบน้ำมันที่ขับเคลื่อนด้วยการเผาไหม้ของเชื้อเพลิง ซึ่งจะมีการปล่อยมลพิษออกสู่อากาศโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) หรือก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ (NOx)ด้วยความที่พลังงานไฟฟ้าถือว่าเป็นสิ่งที่เข้าถึงง่าย เพราะนับเป็นปัจจัยพื้นฐานสำหรับการใช้ชีวิต ทำให้แม้ว่าจะเดินทางใกล้ หรือไกล รถยนต์ไฟฟ้าก็ยังสามารถชาร์จพลังงานจากสถานีชาร์จได้
2.ลดมลพิษทางเสียง
รถยนต์ไฟฟ้า เสียงเบามาก จนแทบไม่ได้ยิน เนื่องจากกลไกในการขับเคลื่อนไม่ต้องใช้การจุดระเบิดเพื่อเผาไหม้ จึงทำให้ไม่มีเสียงเวลาขับ และการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้านั้น มีเสียงที่เงียบกว่าเครื่องยนต์มาก ลดมลพิษทางเสียง เนื่องจากกลไกในการขับเคลื่อนไม่ต้องใช้การจุดระเบิดเพื่อเผาไหม้ จึงทำให้ไม่มีเสียงเวลาขับ และการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้านั้น มีเสียงที่เงียบกว่าเครื่องยนต์มากประสิทธิภาพสูงกว่า รถยนต์ไฟฟ้าใช้มอเตอร์ไฟฟ้าซึ่งมีแรงบิดมากกว่าโดยเริ่มตั้งแต่ออกตัว ทำให้อัตราเร่งดีกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันจึงทำให้เสียงของเครื่องยนต์ของรถไฟฟ้านั้นเงียบกว่ารถน้ำมัน
3. ประหยัดค่าใช้จ่าย
ประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะรถยนต์ไฟฟ้านั้นไม่มีเครื่องยนต์ จึงไม่ต้องใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในการเผาไหม้ อีกทั้งพลังงานไฟฟ้ายังมีราคาถูกกว่าและผันผวนน้อยกว่าราคาน้ำมันส่วนในเรื่องของการบำรุงรักษานั้น ในรถยนต์ไฟฟ้ามีเพียงมอเตอร์ไฟฟ้าเท่านั้นที่เป็นส่วนกำลังทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ ไม่มีของเหลวหรือกรองของเหลวที่ต้องบำรุงรักษาตามวาระช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการนำรถเข้าศูนย์ เรื่องของค่าใช้จ่าย หรือค่าพลังงาน เป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้น ๆ ที่ทำให้คนส่วนใหญ่เริ่มหันมาสนใจรถยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้น ซึ่งเมื่อเทียบค่าพลังงานเฉลี่ยของรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซิน หรือดีเซล จะมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ ลิตรละ 30-40 บาท
ส่วนรถยนต์ไฟฟ้า มีค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่ความแตกต่างกันตามประเภทของการชาร์จ เช่น
- ชาร์จไฟบ้านผ่านมิเตอร์แบบ TOU ค่าพลังงานไฟฟ้าจะอยู่ที่หน่วยละประมาณ 2.6369 บาท/หน่วย
- ชาร์จแบบ DC Fast charge ตามสถานีชาร์จสาธารณะ มักจะมีค่าบริการอยู่ราว ๆ 7.5 บาท/หน่วย
ซึ่งไฟฟ้า 1 หน่วย จะสามารถขับเคลื่อนรถยนต์ไฟฟ้าได้ระยะทางราว 4-7 กิโลเมตร/หน่วย เลยทีเดียว หากเปรียบเทียบค่าพลังงานต่อกิโลเมตรแล้ว พบว่ารถยนต์ไฟฟ้าประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่า
- รถยนต์ไฟฟ้า มีต้นทุนค่าพลังงานในการเดินทางเริ่มต้นประมาณ 0.37 บาท/ 1 กิโลเมตร
- รถยนต์น้ำมัน มีต้นทุนค่าพลังงานในการเดินทางเริ่มต้นประมาณ 1.76 บาท/ 1 กิโลเมตร
4.ความเร็วที่ราบรื่น
รถ ev ออกตัวได้เร็วมาก เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าตอนนี้เป็นที่น่าจับตามองคือ มีระบบความเร็วที่ไหลรื่น เพราะการใช้งานมอเตอร์นั้นมีแรงบิดสูงสุดตั้งแต่วินาทีแรกที่เหยียบคันเร่ง ซึ่งแรงบิดนั้นหมายถึงแรงที่ใช้ส่งกำลังของเครื่องยนต์ทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ ซึ่งรถยนต์ที่มีแรงบิดดีก็จะช่วยให้รถออกตัวได้ดีมากขึ้น สามารถเร่งเครื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มสมรรถนะในการขนของหนักให้ขับเคลื่อนได้อย่างราบรื่นอีกด้วยหากมีโอกาสได้ทดลองขับหรือนั่งรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% สักครั้งจะรู้สึกได้ถึง ความเงียบ ที่มาพร้อมกับอัตราเร่งที่ทันใจแบบกดปุ๊บ มาปั๊ป ไม่รอรอบ และไม่มีเสียงรบกวนเหมือนเครื่องยนต์ ซึ่งเป็นความแรงที่มาจากการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเลือกนำสมรรถนะมอเตอร์ไฟฟ้ามาเป็นจุดเด่น ในเรื่องของอัตราเร่ง ที่เหนือกว่ารถที่ใช้เครื่องยนต์ทั่วไปอยู่มากมายนัก
5. ชาร์จแบตเตอรี่ได้ที่บ้าน สะดวก ประหยัด พร้อมใช้งานทุกเช้า
หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในปี 2025 ก็คือ ความสะดวกในการชาร์จไฟที่บ้าน ซึ่งเป็นสิ่งที่รถน้ำมันทำไม่ได้ ผู้ใช้สามารถชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าในตอนกลางคืนขณะนอนหลับ และตื่นเช้ามาพร้อมใช้งานรถได้ทันทีโดยไม่ต้องแวะปั๊มหรือเสียเวลาไปหาสถานีชาร์จระหว่างวัน
1. การชาร์จแบบธรรมดา (AC Charger)
การชาร์จแบบ AC หรือ Normal Charge เป็นการชาร์จไฟฟ้ากระแสสลับผ่านตัวชาร์จที่เรียกว่า Wallbox ซึ่งติดตั้งไว้ที่บ้าน โดยไฟจะเข้าสู่ On Board Charger ภายในตัวรถเพื่อแปลงเป็นไฟฟ้ากระแสตรง (DC) ก่อนส่งเข้าสู่แบตเตอรี่
- ใช้เวลาโดยเฉลี่ยประมาณ 4 – 16 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับขนาดแบตเตอรี่และกำลังไฟ
- เหมาะกับการชาร์จข้ามคืน เช่น ชาร์จตอนกลางคืน – ใช้รถตอนเช้า
- ประหยัดค่าไฟ: หลายบ้านเลือกใช้แพ็กเกจ "ไฟฟ้าราคาพิเศษกลางคืน" จากการไฟฟ้า ช่วยลดต้นทุนค่าเดินทางต่อวันได้อย่างชัดเจน
- วิธีการชาร์จไฟฟ้า ผ่าน Home Chargerคลิกเลย: https://www.youtube.com/watch?v=36Zen49clXw&t=34s
2. การชาร์จแบบเร็ว (DC Fast Charge)
DC Charger หรือการชาร์จแบบเร็ว ใช้ไฟฟ้ากระแสตรงส่งเข้ารถโดยตรง ไม่ต้องผ่าน On Board Charger ทำให้ประหยัดเวลาได้มาก เหมาะสำหรับการใช้งานนอกบ้าน หรือกรณีที่ต้องการใช้รถด่วน
- ใช้เวลาชาร์จเพียง 30 นาที – 1 ชั่วโมง ก็สามารถได้แบตเตอรี่ 80% แล้ว
- มักติดตั้งตามสถานีชาร์จสาธารณะ เช่น ห้างสรรพสินค้า ปั๊ม หรือจุดพักรถมอเตอร์เวย์
- ปี 2025 มี DC Charger หลายขนาดให้เลือก ทั้งแบบ 50 kW, 120 kW ไปจนถึง 300 kW สำหรับรถรุ่นใหม่ที่รองรับการชาร์จความเร็วสูง
- วิธีการชาร์จไฟ ผ่านสถานีชาร์จไฟคลิกเลย : https://www.youtube.com/watch?v=WEMS99M1YPo&t=361s
สรุป: ชาร์จที่บ้านคือทางเลือกหลักของคนใช้ EV ยุคใหม่
ในปี 2025 รถ EV ส่วนใหญ่รองรับการชาร์จทั้งแบบ AC และ DC ทำให้ผู้ใช้สามารถวางแผนการใช้งานได้อย่างยืดหยุ่น การมี เครื่องชาร์จติดบ้าน จึงกลายเป็นเทรนด์ของเจ้าของรถ EV เพราะช่วยประหยัดทั้งเวลาและเงินในระยะยาว โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ใช้รถเดินทางในชีวิตประจำวันเป็นหลัก
- การชาร์จ AC และ DC ต่างกันอย่างไร คลิกเลย: https://www.youtube.com/watch?v=_LxHEFep3lk
ตารางเปรียบรถไฟฟ้า(EV)และรถน้ำมัน
รายการเปรียบเทียบ |
รถไฟฟ้า (EV) |
รถน้ำมัน |
แหล่งพลังงาน |
ใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นหลัก โดยสามารถชาร์จได้ทั้งจากปลั๊กไฟบ้าน (ในบางรุ่น) และสถานีชาร์จไฟฟ้าสาธารณะ ซึ่งปัจจุบันมีให้บริการมากขึ้นทั่วประเทศ |
ใช้น้ำมันเบนซินหรือดีเซล เติมจากปั๊มน้ำมันทั่วไป ซึ่งมีความสะดวกในการหาแหล่งเติม แต่ราคาน้ำมันมีแนวโน้มผันผวน |
มลพิษทางสิ่งแวดล้อม |
เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือมลพิษอื่น ๆ ในระหว่างขับขี่ ช่วยลดปัญหาโลกร้อนและคุณภาพอากาศในเมือง |
มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น CO2, NOx และ PM2.5 ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของปัญหามลภาวะทางอากาศ และกระทบต่อสุขภาพของผู้คนโดยตรง |
ระบบขับเคลื่อน |
ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งมีแรงบิดสูงตั้งแต่รอบต่ำ ทำให้เร่งความเร็วได้ดีและเงียบกว่ามาก |
ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน ซึ่งอาศัยการเผาไหม้ของเชื้อเพลิง มีเสียงดังและมีชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวจำนวนมาก |
ค่าบำรุงรักษา |
โดยทั่วไปค่าบำรุงรักษาต่ำกว่า เนื่องจากไม่มีเครื่องยนต์ น้ำมันเครื่อง หรือตัวกรองต่าง ๆ ที่ต้องเปลี่ยนบ่อย อย่างไรก็ตาม ราคาเริ่มต้นของรถ EV ยังสูงกว่ารถน้ำมัน และค่าซ่อมบางชิ้นส่วน (เช่น แบตเตอรี่) อาจสูง |
มีค่าใช้จ่ายต่อเนื่องทั้งในเรื่องการเติมน้ำมัน (เฉลี่ยประมาณ 3 บาท/กิโลเมตร) และการบำรุงรักษาเครื่องยนต์ เช่น เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง หัวเทียน ผ้าเบรก ฯลฯ |
เทคโนโลยีและนวัตกรรม |
รถ EV รุ่นใหม่ ๆ มักมาพร้อมฟีเจอร์ล้ำสมัย เช่น ระบบช่วยขับอัตโนมัติ หน้าจอสัมผัสเต็มรูปแบบ ระบบความปลอดภัยขั้นสูง การอัปเดตซอฟต์แวร์ออนไลน์ |
รถใช้น้ำมันมีหลายรุ่นให้เลือก ทั้งแบบประหยัดและสมรรถนะสูง แต่บางรุ่นยังไม่มีฟีเจอร์ไฮเทคเท่ากับ EV และนวัตกรรมอาจตามหลังเล็กน้อยในบางกรณี |
มลพิษทางเสียง |
เสียงเงียบขณะขับขี่ โดยเฉพาะในความเร็วต่ำ เนื่องจากมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานได้เงียบมาก ช่วยลดมลพิษทางเสียงในเมืองได้ชัดเจน |
มีเสียงเครื่องยนต์ที่ดังกว่า โดยเฉพาะรถเก่าหรือรถที่ไม่ได้รับการดูแลดี อาจสร้างเสียงรบกวนและเพิ่มมลพิษทางเสียงได้ |
อัตราการสิ้นเปลืองพลังงาน |
ค่าใช้จ่ายในการขับขี่ต่ำ โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 0.6 – 1 บาทต่อกิโลเมตร ขึ้นอยู่กับอัตราค่าไฟฟ้าและประสิทธิภาพของรถ |
มีอัตราการสิ้นเปลืองเฉลี่ยประมาณ 3 บาทต่อกิโลเมตร ขึ้นกับขนาดเครื่องยนต์และพฤติกรรมการขับขี่ |
ตารางอัตราการสิ้นเปลืองและต้นทุนการเดินทางรายเดือน (ระยะทาง 1,000 กม.)
รายการ |
รถยนต์น้ำมัน (เฉลี่ย) |
รถยนต์ไฟฟ้า (EV) (เฉลี่ย) |
อัตราการสิ้นเปลือง |
12 กม./ลิตร (กลางระหว่าง 10-15) |
6 กม./kWh (กลางระหว่าง 5-7) |
ราคาพลังงาน |
35 บาท/ลิตร (กลางระหว่าง 30-40) |
7 บาท/kWh (กลางระหว่าง 6-8) |
พลังงานที่ใช้ต่อเดือน |
1,000 ÷ 12 = 83.3 ลิตร |
1,000 ÷ 6 = 166.7 kWh |
ต้นทุนการเดินทาง/เดือน |
83.3 × 35 = 2,916 บาท |
166.7 × 7 = 1,167 บาท |
อัตราการสิ้นเปลืองเมื่อเปรียบเทียบระหว่างรถน้ำมันกับรถไฟฟ้า
-
รถน้ำมัน : อัตราสิ้นเปลืองจะเฉลี่ยอยู่ที่ 3 บาทต่อกิโลเมตร
- รถยนต์ไฟฟ้า : อัตราความสิ้นเปลืองจะเฉลี่ยอยู่ที่ 0.6 - 1 บาทต่อกิโลเมตร
สรุปเปรียบเทียบต้นทุนต่อเดือน
รายการ |
รถน้ำมัน |
รถ EV |
ค่าใช้จ่ายต่อเดือน |
2,916 บาท |
1,167 บาท |
ประหยัดต่อเดือนเมื่อใช้ EV |
– |
1,749 บาท |
สรุปรถไฟฟ้า EV เป็นรถที่มีการใช้ระบบพลังงานไฟฟ้าแทนการใช้น้ำมัน ซึ่งจุดเด่นที่ทำให้รถไฟฟ้า เป็นที่น่าสนใจคือการใช้พลังงานสะอาดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังมีข้อดีข้อเสียของรถยนต์ไฟฟ้าอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการบำรุงรักษาที่น้อยกว่ารถสันดาป ประหยัดค่าใช้จ่าย และสามารถชาร์จไฟได้จากที่บ้าน แต่การใช้รถไฟฟ้าก็ยังมีข้อจำกัดอยู่บ้าง เช่น สถานีชาร์จแบตเตอรี่ไม่ครอบคลุมในหลาย ๆ พื้นที่ในแต่ละจังหวัด
Note : หากสนใจเกี่ยวกับรถไฟฟ้าเพิ่มคลิกเลย
- 5 อันดับ รถยนต์ไฟฟ้า 2024 ที่คนนิยมและราคาไม่เกินล้าน!
- เช่ารถevขับเอง นนทบุรี ราคาเท่าไหร่ ?
- รถยนต์ไฟฟ้า 2024 ซื้อรุ่นไหนดี ? เปรียบเทียบราคารถ ev
ช่องทางการติดต่อจองเช่ารถไฟฟ้ากับเรา
• ไลน์ : @exclusivecar
• เบอร์ : 02-1260718
• เว็บไซต์ : เช่ารถไฟฟ้า
• อีเมล : info@exclusive.co.th